ปุ๋ย สารประกอบที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช

ปุ๋ย คืออะไร ?

ปัจจุบันบุคคลส่วนใหญ่ทั้งในภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตรรวมถึงผู้บริหารประเทศบางท่านมีความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่าปุ๋ยยังไม่ถูกต้องครบถ้วนนัก ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากบุคคลบางกลุ่ม โดยเฉพาะแนวความคิดที่ชักนำให้เข้าใจกันผิดๆว่าปุ๋ยเคมีเป็นสารประเภทเดียวกับสารกำจัดศัตรูพืช จึงก่อให้เกิดกระแสสังคมที่ต้านการใช้ปุ๋ยเคมี และส่งเสริมให้หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ประเภทต่างๆแทน แท้จริงแล้วปุ๋ยเคมี คือสารประกอบอนินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืช (ภาพที่ 2.1) เพียงแต่ผ่านกระบวนการผลิตทางเคมี เมื่อนำมาใส่ลงไปในดินที่มีความชื้น สารประกอบเหล่านี้จะละลายและพืชสามารถดูดกินไปใช้ในการเจริญเติบโตและสร้างผลผลิตได้

ภาพที่ 2.1 ปุ๋ยเคมีคือสารประกอบอนินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืช

ในขณะที่สารกำจัดศัตรูพืชนั้นเป็นสารประกอบอินทรีย์ซึ่งเป็นพิษกับแมลงและศัตรูพืชหลายชนิด (ภาพที่ 2.2) หากใช้อย่างไม่ระมัดระวังอาจเป็นพิษต่อสุขภาพของผู้ใช้และผู้บริโภคผลผลิตได้ เช่นสารกำจัดศัตรูพืชบางชนิดใช้แล้วต้องทิ้งไว้ 20 วัน จึงจะเก็บเกี่ยวได้ แต่เกษตรกรผู้ปลูกได้เก็บเกี่ยวพืชก่อนถึงวันที่กำหนดจึงทำให้มีสารพิษตกค้างอยู่ในผลผลิตและเกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้

ภาพที่ 2.2 สารกำจัดศัตรูพืชคือสารประกอบอินทรีย์ที่เป็นพิษต่อแมลงและศัตรูพืชต่างๆ

ส่วนปุ๋ยอินทรีย์นั้นหมายถึงสารประกอบที่ได้จากสิ่งมีชีวิต (ภาพที่ 2.3) ได้แก่พืช สัตว์ จุลินทรีย์ โดยผ่านกระบวนการผลิตทางธรรมชาติ มีประโยชน์ในการปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดินเป็นต้นว่า ทำให้ดินโปร่ง ร่วน ซุย เพิ่มความสามารถในการระบายน้ำและอากาศ ทำให้การชอนไชของรากเพื่อหาธาตุอาหารง่ายขึ้น ส่วนเรื่องปริมาณธาตุอาหารในปุ๋ยอินทรีย์นั้นก็พอมีอยู่บ้าง แต่มีอยู่ในปริมาณที่น้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของสารประกอบอินทรีย์เช่น มีธาตุไนโตรเจนอยู่ในสารประกอบจำพวกโปรตีน แต่เมื่อใส่ลงไปในดิน สารประกอบเหล่านี้ไม่สามารถเป็นประโยชน์กับพืชได้ทันที จำเป็นต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายโดยกิจกรรมของจุลินทรีย์ดินเสียก่อน โดยสุดท้ายจะปลดปล่อยธาตุอาหารในรูปสารประกอบอนินทรีย์ชนิดเดียวกับปุ๋ยเคมี

ภาพที่ 2.3 ปุ๋ยอินทรีย์คือสารประกอบที่ได้จากสิ่งที่มีชีวิต

การนำปุ๋ยอินทรีย์มาใช้โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อชดเชยธาตุอาหารในดินที่หายไปกับการเก็บเกี่ยวผลผลิตออกจากพื้นที่จึงจำเป็นต้องใช้ในปริมาณมหาศาล และการปรับปริมาณการใช้เพื่อให้เกิดความสมดุลของแต่ละธาตุทำได้ลำบาก ยากต่อการปฏิบัติของเกษตรกรโดยทั่วไป ดังนั้นแนวทางที่ดีและเหมาะสมสำหรับการใช้ที่ดินผลิตพืชเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดบนรากฐานที่ยั่งยืนควรมีการใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ ร่วมกับการจัดการที่ถูกต้อง เหมาะสม ประหยัด และมีประสิทธิภาพ

ปุ๋ยคือวัสดุที่ใส่ลงไปในดินเพื่อเพิ่มเติมธาตุอาหารให้กับพืช

ปุ๋ยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

2.2.1 ปุ๋ยเคมี : เป็นสารประกอบที่ผลิตจากกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมี ธาตุอาหารที่มีอยู่ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปที่พืชดูดกินได้ทันทีเมื่อละลายน้ำ หรือใส่ลงดิน เช่น ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟต ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ ฯลฯ เป็นต้น ปุ๋ยเคมีสามารถแบ่งได้เป็น

(1) ปุ๋ยไนโตรเจนได้แก่ปุ๋ยที่ให้ธาตุอาหารไนโตรเจนเป็นหลัก เช่น ปุ๋ยยูเรีย ซึ่งมีธาตุไนโตรเจน 46% หรือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ซึ่งมีธาตุไนโตรเจน21%

(2) ปุ๋ยฟอสฟอรัส ได้แก่ปุ๋ยที่ให้ธาตุฟอสฟอรัสเป็นหลักได้แก่ ปุ๋ยทริปเปิลซุปเปอร์ฟอสเฟตซึ่งมีฟอสฟอรัส 46% หรือปุ๋ยไดแอมโมเนียมฟอสเฟต ซึ่งมีฟอสฟอรัส 46% และมีไนโตรเจน 18%

(3) ปุ๋ยโพแทสเซียม ได้แก่ปุ๋ยที่ให้โพแทสเซียมเป็นหลักได้แก่ ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์มีโพแทสเซียม 60% หรือปุ๋ยโพแทสเซียมซัลเฟตมีโพแทสเซียม 50%

2.2.2 ปุ๋ยอินทรีย์ : เป็นวัสดุที่ได้มาจากสิ่งที่มีชีวิต ธาตุอาหารส่วนใหญ่อยู่ในรูปที่พืชดูดกินไม่ได้ ต้องผ่านการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์เสียก่อน เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด เลือดแห้ง เศษเนื้อพังผืด กากเมล็ดฝ้าย กากเมล็ดละหุ่ง กากน้ำปลา กระดูกป่น หินฟอสเฟต ฯลฯ เป็นต้น

การบ่งบอกปริมาณธาตุอาหารหลักในปุ๋ยเคมี

บนฉลากปุ๋ยเคมีทุกชนิดจะระบุปริมาณธาตุอาหารหลักเป็นตัวเลข 3 จำนวนเรียงกันเรียกว่า “สูตรปุ๋ย” โดยตัวเลขจะหมายถึง % โดยน้ำหนักของไนโตรเจน-ฟอสฟอรัส-โพแทสเซียม หรือ เอ็น-พี-เค เรียงตามลำดับ ตัวอย่างเช่น ปุ๋ยสูตร 13-0-46 แสดงว่ามีไนโตรเจน 13% ไม่มีฟอสฟอรัส และมีโพแทสเซียม 46% สำหรับธาตุอาหารอื่นๆ ในปุ๋ยเคมี ผู้ผลิตจะระบุหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าระบุก็จะเขียนบอกบนฉลากปุ๋ยว่ามีธาตุอะไรบ้าง และมีเท่าไร

รูปของธาตุอาหารหลักในปุ๋ยเคมี

2.4.1 ไนโตรเจน (เอ็น) : ในปุ๋ยเคมีอาจจะอยู่ในรูปแอมโมเนียมหรือไนเตรตหรือยูเรีย ปริมาณไนโตรเจนในสูตรปุ๋ย หมายถึงปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดที่มีอยู่ในปุ๋ยเคมี เมื่อใส่ลงไปในดิน พืชสามารถดูดกินได้ทันที

2.4.2 ฟอสฟอรัส (พี) : ในปุ๋ยเคมีอาจจะมีอยู่ทั้งในรูปที่พืชดูดกินได้ที่เรียกว่า รูปที่เป็นประโยชน์ และบางส่วนอาจจะอยู่ในรูปที่พืชดูดกินไม่ได้ ตัวเลขที่บอกปริมาณฟอสฟอรัสในสูตรปุ๋ยจะหมายถึง เฉพาะรูปที่เป็นประโยชน์เท่านั้น ตัวอย่างเช่น ปุ๋ยหินฟอสเฟตบด ถ้ามีฟอสฟอรัสทั้งหมด 30% แต่อยู่ในรูปที่พืชดูดกินได้ เพียง 3% ก็จะมีสูตรเป็น 0-3-0 เท่านั้น

2.4.3 โพแทสเซียม (เค) : ในปุ๋ยเคมีก็อาจจะมีอยู่ทั้งในรูปที่พืชดูดกินได้ หรือที่เรียกว่า รูปที่ละลายน้ำได้ และรูปที่พืชดูดกินไม่ได้ ซึ่งตัวเลขในสูตรปุ๋ยก็จะหมายถึงเฉพาะรูปที่พืชดูดกินได้เท่านั้น

ปุ๋ยปลอมและปุ๋ยด้อยมาตรฐานเป็นอย่างไร

เนื่องจากประเทศไทยยังผลิตปุ๋ยเคมีได้ในปริมาณไม่เพียงพอต่อการใช้ จึงต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศมาจำหน่าย หรือมาผสมเป็นปุ๋ยผสมสูตรต่างๆ ทำให้ปุ๋ยเคมีมีราคาแพง อีกทั้งปุ๋ยเคมีมีสีสัน และลักษณะเม็ดปุ๋ยแตกต่างไปได้หลายแบบ ไม่สามารถสังเกตได้ว่ามีธาตุอาหารอยู่หรือไม่ ทำให้มีผู้ผลิต "ปุ๋ยปลอม" ซึ่งเป็นปุ๋ยที่ไม่มีธาตุอาหารเลย หรือผลิต "ปุ๋ยด้อยมาตรฐาน" ซึ่งเป็นปุ๋ยที่มีปริมาณธาตุอาหารไม่ตรงตามสูตรปุ๋ยและโดยปกติจะมีปริมาณน้อยกว่าตัวเลขในสูตรปุ๋ยมาก เกษตรกรที่ซื้อปุ๋ยปลอมและปุ๋ยด้อยมาตรฐานไปใช้ ก็จะไม่ได้ผลหรือได้ผลน้อย และขาดทุน

การตรวจสอบปุ๋ยปลอม และปุ๋ยด้อยมาตรฐานทำได้อย่างไร

การที่จะบอกว่าปุ๋ยเคมีเป็นปุ๋ยปลอม หรือปุ๋ยด้อยมาตรฐานหรือไม่ เราไม่สามารถสังเกตได้จากกลิ่น สี รูปร่างลักษณะเม็ดปุ๋ย การละลายน้ำ หรือความรู้สึกเย็นเมื่อสัมผัส การตรวจสอบจะต้องทำโดยวิธีการทางเคมีเท่านั้น ซึ่งวิธีการนี้แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ

2.7.1 การตรวจสอบอย่างละเอียด เป็นการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ วิธีการวิเคราะห์ยุ่งยาก ใช้เครื่องมือราคาแพง ต้องใช้นักวิชาการที่มีความรู้ความชำนาญ ใช้เวลานาน และค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์แพงมาก แต่ผลที่ได้ละเอียดถูกต้องดี เป็นการตรวจสอบเพื่อรับรองธาตุอาหารในปุ๋ยตามกฎหมาย

2.7.2 การตรวจสอบแบบรวดเร็ว เป็นวิธีทางเคมีที่ดัดแปลงให้ง่ายขึ้น ใช้เวลาน้อย เกษตรกรตรวจสอบเองได้ และที่สำคัญค่าใช้จ่ายถูกกว่ากันมาก อย่างไรก็ตามวิธีนี้ไม่ละเอียดพอที่จะใช้ตรวจสอบอ้างอิงในทางกฎหมาย แต่ตรวจสอบได้ว่าปลอมหรือด้อยมาตรฐานหรือไม่ เพื่อเกษตรกรจะได้เลือกใช้ปุ๋ยที่ดี และถูกต้อง ชุดตรวจสอบปุ๋ยเคมี มก. 4 เป็นชุดตรวจสอบปุ๋ยเคมีแบบรวดเร็ว ซึ่งได้ผลิตโดย คณะนักวิจัยของ ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สามารถใช้ตรวจสอบปุ๋ยปลอม หรือปุ๋ยด้อย มาตรฐานได้ แต่ไม่ใช่วิธีที่ใช้ตรวจสอบเพื่อรับรองธาตุอาหารในปุ๋ยตามกฎหมาย

วิธีการผสมปุ๋ย

2.8.1 การผสมปุ๋ยเพื่อให้ได้ตามสูตรที่ต้องการ เกษตรกรควรรู้จักผสมปุ๋ยใช้เอง โดยใช้แม่ปุ๋ยที่หาซื้อได้ในท้องตลาด ซึ่งอาจเป็น 18-46-0, 16-20-0 หรือ 15-15-15 และเติมธาตุอาหารที่ขาดหายไป โดยใช้ปุ๋ย 0-0-60 หรือ 46-0-0 เป็นต้น ตัวอย่างข้างล่างเป็นการผสมปุ๋ยสูตร 15-20-15 จากแม่ปุ๋ย 3 ชนิด คือ 18-46-0, 0-0-60 และ 46-0-0

2.8.2 การผสมปุ๋ยตามคำแนะนำที่ได้ โดยใช้ปุ๋ยสูตรที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด คือ 16-20-0, 

0-0-60 และ 46-0-0 เช่น

   

ดังนั้นให้ผสม 16-20-0 จำนวน 20 กก. + 0-0-60 จำนวน 13 กก. เป็นปุ๋ยครั้งที่ 1 ซึ่งจะได้ธาตุอาหาร 3.2 - 4 - 8 กก./ไร่ และให้ใส่ปุ๋ย 46-0-0 ครั้งที่ 2 จำนวน 10.4 กก./ไร่ จะได้ธาตุอาหารตามคำแนะนำคือ 8-4-8 กก./ไร่

การคำนวณราคาปุ๋ย

เกษตรกรมักพิจารณาราคาปุ๋ยโดยเทียบราคาปุ๋ยต่อ 1 หน่วยน้ำหนักของปุ๋ย ที่ถูกต้องแล้วจะต้องเทียบราคาของปุ๋ยต่อน้ำหนักธาตุอาหาร 1 หน่วย ตามตัวอย่างข้างล่าง

ดังนั้นจะเห็นว่าปุ๋ยอินทรีย์มีราคาแพงมาก เมื่อเทียบราคาธาตุอาหาร 1 หน่วย ในปุ๋ยอินทรีย์กับปุ๋ย อนินทรีย์ นอกจากนั้นปริมาณธาตุอาหาร 30 กก. ในปุ๋ยอินทรีย์ 1 ตันนั้นพืชไม่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ทันที จุลินทรีย์จะต้องทำการย่อยสลาย และเปลี่ยนรูปจากอินทรีย์มาเป็นอนินทรีย์สารก่อน อัตราการย่อยสลายนี้ช้ามาก ประมาณกันว่าปุ๋ยอินทรีย์จะปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาในปีแรก 10% และปลดปล่อยออกมาเรื่อยๆ ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้ถ่องแท้ในการเลือกซื้อปุ๋ยแต่ละชนิดไปใช้